ออกร้านงานมหา'ลัย ขายอาหารไทย ไม่ง่ายเลย T^T

 


เวลาดูอนิเมะหรืออ่านมังงะ เราจะพบว่า เกือบทุกเรื่องที่มีตัวเอกเป็นนักเรียนม. ปลาย ต้องมีฉากของงานวัฒนธรรม (文化祭) อยู่เรื่อยไป ยิ่งถ้าเรื่องไหนมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องละก็ พนันได้เลยว่าส่วนใหญ่พระนางจะได้สารภาพรักกันในฉากนี้นี่แหละ เรื่องเหตุการณ์อะไรให้คนดูบิดหมอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง จับจอรอดูได้เลย อ้อ อย่าลืมพลุหลังงานจบด้วยนะ

ตอนก่อนมาญี่ปุ่น เราก็คิดมาตลอดว่า อยากให้โรงเรียนที่ไทยมีงานอย่างนี้บ้าง .. ซึ่งบางโรงเรียนก็คงจะมีแหละ แต่โรงเรียนที่เราอยู่ดันไม่มี (แต่มีงานโครงงาน กับสัปดาห์วิชาการ อะไรประมาณนี้นะ) อารมณ์ว่าอยากจะลองขายของออกร้านกับเขาบ้าง

ครับ ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์การบิดหมอนใด ๆ ทั้งสิ้น

เวลาดูในอนิเมะ แล้วเห็นเขาจัดงานกันแบบที่ต้องใช้คำว่า 'เล่นใหญ่' กันขนาด บางเรื่องทำบ้านผีสิงในห้องเรียน บางเรื่องจัดเป็นร้านกาแฟ เมดคาเฟ่ก็ยังมี

เรารึก็อยากลองเล่นใหญ่อย่างนั้นบ้าง พอรู้ว่าที่มหา’ลัยก็มีงาน ชื่อว่า 六甲祭 เป็นงานประจำปีของมหา'ลัยที่เทียบได้กับงานวัฒนธรรมของโรงเรียนนั่นล่ะฮะ

ใบปลิวประกาศลงทะเบียนออกร้านถูกยื่นส่งมาตรงหน้า ใครละจะอดใจ ไม่ให้ถลาไปลองไหว

...

หลังจากเราเอาใบประกาศไปทำตาวิ้ง ๆ ใส่รุ่นพี่คนไทย จนพี่แกตกลงใจ หาคนไปสมัครด้วยกันได้คนหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่การผจญภัยที่แท้จริงได้เริ่มขึ้น

เวลาของการต่อแถวรับใบสมัครกำหนดไว้ที่ตอนพักเที่ยง โชคดีที่สถานที่อยู่ไม่ห่างจากตึกเรียนปีหนึ่งมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นกว่าจะไปถึงที่หน้าห้อง แถวก็ยาวเป็นหางว่าวแล้ว

ตอนนั้นคือมีแต่ใจล้วน ๆ คิดแค่ว่าอยากทำ ก็จะลองทำ มันคงจะไม่ยากอะไรมากมั้ง แค่จัดร้านเอง !

เมื่อถึงคิวของเรา เขาก็ให้กรอกชื่อผู้รับผิดชอบหลักและรองรวมสองคน (ซึ่งตอนนั้นเราก็มีกันแค่ 2 คน) พร้อมกับชื่อกลุ่ม ซึ่งปกติก็ควรจะเป็นชื่อชมรม .. แต่เราเป็นเพียงกลุ่มนักเรียนต่างชาติใส ๆ ไม่ใช่ชมรม อย่าว่าแต่ชื่อกลุ่มเลย สมาชิกเรายังไม่ทันได้สรรหาด้วยซ้ำ แต่ช่องว่างตรงหน้ามีเวลาให้เราคิดได้ไม่นานนัก จากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วยความเร็วระดับชินคันเซ็น เราจึงได้ชื่อสุดครีเอตว่า นักเรียนไทยในมหา'ลัยโกเบ .. นี่คือครีเอตสุด ๆ แล้วจริง ๆ

หลังจากอดทนต่อแถวกันอย่างยาวนาน และมโนชื่อกลุ่มของเราขึ้นมาได้แล้ว เราต้องจ่ายเงินค่ามัดจำ  (ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เราจ่าย แต่เป็นรุ่นพี่ที่มาด้วยกันนั่นล่ะ กราบ) ทางผู้จัดงานก็ส่งเอกสารที่ต้องเตรียมมาให้กับเรา

วินาทีนั้น จำได้เลยว่า หันไปมองหน้ารุ่นพี่ ถ้าให้ได้ฟีลกาตูนหน่อยก็ต้องมีเหงื่อตก แล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก

"ยกเลิกได้ใช่ไหม" เรายิ้มแห้ง ๆ
"ถ้าไม่ไหวก็แคนเซิล" รุ่นพี่ว่า

แล้วเราก็กลับออกมานอกห้องสมัครอย่างงง ๆ

เอกสารที่ต้องอ่านและกรอกเพื่อร่วมออกร้านในงานนี้มีความหนาเทียบเท่าเล่มรายงาน และทั้งหมดนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น !

มันทำให้เราได้พบกับมารตัวแรก 'ความขี้เกียจ'

แต่พอคิดอีกทีถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็อาจจะไม่มีโอกาสที่จะได้ลองทำอีกแล้วก็ได้ เอาวะ ! .. ว่าแล้วก็ยัดเอกสารทั้งหมดนั้นเข้าชั้นไป ขอเวลาทำใจสักพักละกัน

เนื้อหาของเอกสารที่ต้องกรอก มีตั้งแต่ข้อตกลงในการจัดงาน ชื่อสินค้า ประเภทสินค้า ประเภทร้านค้า อุปกรณ์ที่ต้องการเช่า ตำแหน่งร้านที่ต้องการ รายชื่อพนักงานและช่องทางติดต่อ (กำหนดด้วยว่าจะต้องคละหญิงชาย และระบุเวลาที่จะอยู่ประจำร้านเลยด้วย) ถ้าเป็นอาหารก็จะบวกความละเอียดเข้าไปอีก คือต้องกรอกวัตถุดิบ และกรรมวิธีการปรุงลงไปอย่างละเอียด บวกผู้รับผิดชอบตั้งร้านต้องตรวจสุขภาพด้วย ถึงจะขายได้ .. ซึ่งปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เนื้อหา แต่เป็น 'ภาษา' มากกว่า

เมื่อเราคิดภาพว่าจะออกร้านในงานอย่างนี้แล้ว แน่นอน ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นนักเรียนไทย เราจะขายสิ่งใดได้เล่า ถ้าไม่ใช่ 'อาหารไทย' แต่จะเป็นเมนูไหน ก็ใช้เวลาคิดกันอยู่นาน

ด้วยความที่มันคืองานวัฒนธรรม บรรยากาศมันก็จะกึ่ง ๆ งานวัดอยู่ประมาณนึง มีคอนเสิร์ต มีร้านอาหารให้คนมางานได้เดินเลือกซื้อ ดังนั้นโจทย์ของเราคือต้องเป็นสิ่งที่เดินกินได้

ครั้นจะทำขนมจีบ ก็ดูไม่ไทย จะทำช่อม่วง ก็ไม่น่าจะจับกลีบ ใส่ซึ้ง นึ่งได้ทัน

หลังจากสำรวจตลาดจากเพื่อนร่วมชั้น เราก็เริ่มมั่นใจว่า ถ้าเล่นใหญ่ไปคนอาจจะไม่อินก็ได้ เราจึงเลือกอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือชาที่นี่ .. ผักชี .. ไม่ใช่ไหมล่ะ

เราเลือกจะขาย 'แกงเขียวหวาน' ซึ่งคนที่นี่รู้จักกันดีในชื่อ 'กรีนคาเร' (เพื่อนเราส่วนใหญ่รู้จักแกงเขียวหวานดีกว่าต้มยำกุ้งเสียอีก) แต่ของคาวอย่างเดียวคงไม่พอ เราอยากขอนำเสนอเครื่องดื่มด้วย

ลองนับนิ้วดูแล้ว วันงานอยู่ช่วงเดือน พ.ย. อากาศเริ่มหนาวพอดี จะมีอะไรเหมาะสมไปกว่าเครื่องดื่มอุ่น ๆ ในงานกลางแจ้งที่ลมพัดฟ้าใบปลิวไสว และ 'ชาไทย' คือคำตอบ

ช่องวัตถุดิบ และกรรมวิธีการปรุง ทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็พยายามเขียนไปเท่าที่ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นในตอนนั้นจะอำนวยให้เขียนได้ ซึ่งพอถึงเวลาส่ง ผู้จัดงานเขาก็มีการซักเพิ่มบ้างประปราย เช่น เราเขียนไปว่า 'ผัก' เขาก็จะถามว่าผักอะไร ซื้อได้ที่ไหน ซื้อได้ในญี่ปุ่นหรือเปล่า หรืออย่าง 'ชาไทย' เขาก็จะถามว่าคือชาอะไร เราก็ตอบได้แค่ 'ชาไทย' แล้วพูดต่อไปเลยว่าหาซื้อได้ที่ไชน่าทาวน์

เรื่องประเมินปริมาณการขาย และงบประมาณก็ต้องคิดรวมไปต้ังแต่ตอนต้นเลย .. เรื่องประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึง ขนาดทฤษฎียังแทบไม่มีในหัว ไม่เคยรู้เลยว่ามันต้องมีหลักการคิดอะไรหรือเปล่า ก็จิ้มเครื่องคิดเลขคร่าว ๆ ให้รู้สึกว่ามันน่าจะมีกำไร แต่วันจริงจะเป็นยังไงก็ไว้คุยกันทีหลัง

ต่อที่เรื่องของทำเลที่เราต้องการจะตั้งร้าน ในเอกสารระบุผังของงานวันจริงมาให้ พร้อมแบ่งโซนอะไรไว้แล้วเรียบร้อย ตรงไหนขายอาหาร ตรงไหนใช้ไฟฟ้าได้ไม่ได้ยังไง แล้วให้เราเขียนลำดับของทำเลที่ตั้งร้านที่ต้องการลงไป เราก็ดูจากตำแหน่งของเวที ทางเดิน และอื่น ๆ ก็คิดว่าตัวเองเลือกตามลำดับตามความคิดว่าดีที่สุด ไปจนถึงแย่ที่สุด ซึ่งในเอกสารก็มีวงเล็บเอาไว้ด้วยว่า สุดท้ายจะใช้การจับฉลากในการกำหนดทำเล ... อ้าว เอ๊ะ ยังไง เราก็หวั่นใจว่าดวงจะพาเราไปตรงไหนหนอ

และแล้วในที่สุด ขั้นตอนของการยื่นเอกสารและการตรวจสุขภาพทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทางผู้จัดงานส่งเมลมาตามเรากับรุ่นพี่ไปรับทราบที่ตั้งร้านที่เราจับฉลากได้ เรากับรุ่นพี่ก็เลยต้องพากันปีนขึ้นเขาฝ่าฝนไป ถึงโถงประชุม เพื่อรับรู้รหัสสามตัว

I 7 3

ตำแหน่งที่ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า เป็นทำเลที่แย่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในงาน  เรียกได้ว่าเป็นหลืบของหลืบอีกที ไม่ว่าใครจะเดินไปเวที หรือจะไปเล่นเกม จะทางเข้า ทางออก หรือทางไหน ก็ไม่น่าจะผ่านมาทางนี้ได้เลย .. ในวันนั้นเราก็ได้รู้แล้วว่า 'ดวงชะตา' พาเรามาตรงไหน และเวลาประกาศผล เทียบไม่ได้เลยกับเวลาที่ใช้ปีนขึ้นไป อ้อใช่ ปีนลงมาด้วย

แต่ก็นะ แข่งบุญแข่งวาสนามันดันแข่งกันไม่ได้ (ร้องไห้สามวิ) แต่โบราณว่าไว้ 'ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตัวเอง' เราต้องทำยังไงก็ได้ให้คนมาร้าน

"ใส่ชุดไทยเลย" อยู่ ๆ ใครสักคนหนึ่งก็เสนอขึ้นมากลางวงประชุม (อาจจะเป็นเราเองก็ได้) และเมื่อมติเป็นเอกฉันท์ เราก็สรุปว่าวันงาน เราจะแต่งชุดไทยไปขายของ !

เราถูกเรียกไปประชุมรับทราบกฎระเบียบอีกสอง สามครั้ง หนึ่งในนั้นมีการอบรมเริ่มความสะอาดของการจัดร้านอาหาร การประกอบเตาแก๊ส และกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินรวมอยู่ด้วย

...

เรารอคอย ใจจดใจจ่ออยากให้ถึงงานวันจริงไว ๆ คิดไว้ว่ามันจะต้องสนุกมาก เราจะจบงานด้วยกำไรและฉลองให้กับความเหน็ดเหนื่อย ความอารยะของแกงเขียวหวานต้องเป็นที่ประจักษ์ แต่นั่นก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นฮะ

เช้าวันงานเราต้องตื่นขึ้นมาเร็วกว่าปกติ เพื่อขนหม้อสตูว์ หม้อหุงข้าว กาต้มน้ำ และวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้นแท็กซี่ไปยังที่จัดงานบนเขา แต่รถไม่สามารถเข้าไปได้ไกลกว่าหน้างาน ทำให้เราต้องขนของทั้งหมดลง แล้วเดินขึ้นแทน มันหนักมาก อย่างที่ยากจะบรรยายได้ และทางเดียวที่จะไปถึง คือการเดินขึ้นบันได ประมาณ 5 ชั้น ไม่รวมทางราบ

เราเดินขึ้นเขา เพื่อที่เราจะได้รับรู้ว่าลืมเอาบัตรผู้รับผิดชอบร้านไปด้วย พอดีกับพี่อีกคนหนึ่งโทรมาบอกว่านมที่ซื้อไว้ใส่ชาเกิดแตกกลางทางตอนนั้นของก็ต้องจัด เตนท์ก็ต้องกาง เราเลยกราบรุ่นพี่งาม ๆ แล้วเดินลงเขามาเอาบัตร (ซึ่งก็มาประจักษ์ที่บ้านอีกครั้งว่า มันอยู่ในกระเป๋าเรานั่นล่ะ) และซื้อนมล็อตใหม่ใส่ตระกร้าหน้าจักรยาน ปั่นกลับขึ้นเขามา

ทางผู้จัดงานจะแจกตั๋วสำหรับให้เราไปแลกของที่ลงทะเบียนเช่าไว้แล้ว ประกอบไปด้วยโต๊ะหนึ่งตัว เตาแก๊สสองเตา และเครื่องปั่นไฟ ซึ่งก็เป็นบุญอย่างยิ่งที่เช้าวันนั้นฝนตก บวกกับลานที่จัดงานเป็นพื้นทราย เราจึงได้บรรยากาศเหมือนจัดงานบนชายหาดเลยทีเดียว

เตาแก๊สที่ใช้ในงานนี้ จัดได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่เปิดเผยอย่างยิ่ง คุณเขาประกอบขึ้นอย่างเรียบง่าย คือมีตัวโครงเตา ให้เอามาวางบนแผ่นกันไฟ แล้วกันลมด้วยฉากอะลูมิเนียม ต่อเข้ากับถังแก๊ส ก็เป็นอันเรียบร้อย

รุ่นพี่เห็นปริมาณของที่เราเช่ามาก็ทำตาปริบ ๆ เพราะมันทำให้ร้านของเราเข้าใกล้ความมินิมอล .. แต่ก็นะ เห็นค่าเช่าแล้วมือมันก็กาจำนวนไปเอง (แหะ)

...

งานนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้ยืนข้างเครื่องปั่นไฟตลอดทั้งวัน ผู้จัดงานมาอธิบายแล้วอธิบายอีกเรื่องการใช้งาน และกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน .. เร้าใจดีใช่ไหมล่ะ ข้างซ้ายเป็นถึงแก๊ส ข้างหลังมีเครื่องปั่นไฟกรนกระหึ่ม

ทุกคนพร้อม เราพร้อม หม้อสตูว์ถูกยกขึ้นวางบนเตา ได้เวลาสำหรับกรีนคาเรหม้อแรก ในขณะที่ฝ่ายชาไทยก็จัดการต้มใบชา และปรุงความหวานเตรียมไว้

ถ้าจะเรียกสิ่งที่ทำขายว่าแกงเขียวหวานก็คงต้องโดนสมาคมคนรักอาหารไทยโกรธแน่ ๆ แต่ในเมื่อมันเป็น คาเร (แกง) และมันมีสีเขียวตามขนม จะเรียกว่า 'กรีนคาเร' ก็คงไม่แย่มากนักกระมัง

สูตรของแกงไม่ใช่อย่างเดียวที่เราดัดแปลงด้วยแหละที่จริง .. คิดไปคิดมา อย่างนี้จะนับว่าเราขายอาหารไทยไหมนะ ?

พอเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ต้องแบ่งอาหารจำนวนหนึ่งใส่ในถุงแยกไว้ ให้ผู้จัดงานเอาไปตรวจสอบความสะอาด ถ้าหากว่าไม่ผ่าน ร้านก็อาจจะต้องถูกปิดลงทันที

...

ช่วงแรกของงาน เราขายแทบไม่ได้เลย

ราคาที่เราตั้งไว้สำหรับกรีนคาเรคือ 500 เยน แต่หลังจากดันทุรังเสนอขายมาได้ครึ่งชั่วโมง เราก็ตัดใจเปลี่ยนราคาใหม่เป็น 300 เยนแทน และให้ราคาของการซื้อกรีนคาเรรวมกับชาไทยเป็น 500 เยน .. คนก็เริ่มกล้าเดินเข้ามามากขึ้น

ปัญหาคือ 'ข้าว' ต้องใช้เวลาในการหุง เราจึงสร้างทางเลือกใหม่ ด้วยการเสนอเมนู ราเมงกรีนคาเร และอุด้งกรีนคาเร ในระหว่างที่หม้อหุงข้าวกำลังทำงานอย่างขันแข็ง

ตอนที่บอกว่าจะเอา 'กรีนคาเร' หรือในที่นี้คือแกงเขียวหวาน มาใส่เส้นอุด้ง ก็แทบไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเวิร์ค แต่เรามั่นใจ .. เหมือนที่มั่นใจเทผักโขมใส่ลงไปในน้ำแกงเขียว ๆ ให้มันเขียวยิ่งขึ้น และเมื่อผักโขมเปื่อย มันก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่า เข้ากันกับรสแกงได้ไม่น้อยไปกว่ามะเขือที่หาไม่ได้ในแผ่นดินนี้

ตอนแรกลูกค้าก็ไม่กล้าสั่งเมนูเส้นของเราเท่าไร แต่เมื่อมีหนึ่งคนลอง คนสองคนสามก็ตามมา กลายเป็นว่าเกิดวิกฤตใหม่ คือเส้นโซบะหมด แต่ข้าวยังไม่สุก

และความโกลาหลก็ค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้น แกงที่ปรุงไว้อย่างดีเริ่มร่อยหรอ ทำให้เราต้องเติมของลงไปใหม่ เนื้อที่หั่นไว้หมดแล้ว ก็ต้องลงมือหั่นใหม่ บางครั้งคนก็เข้ามาตอนที่เนื้อเต็มหม้อ แต่บางครั้งก็ตอนที่ทุกอย่างกลายเป็นซุปผัก พอข้าวหม้อหนึ่งสุกได้ ไม่เกินห้านาที เราก็จะตักข้าวหมดหม้อ แล้วต้องลงมือหุงใหม่

ยังต้องขอบคุณสวรรค์ ที่หม้อใบใหญ่ของเราสุกได้ตรงเวลาช่วงกลางวันพอดี แต่ก็นั่นแหละ ไม่เกินสิบห้านาที ทุกอย่างหมดเกลี้ยง

...


ตะวันเริ่มเบี่ยงลงเล็กน้อย เวลาบ่ายมาถึง ลมเย็น ๆ ก็เริ่มพัด อุณหภูมิบริเวณงานลดต่ำ .. คราวนี้เป็นดังคาด ผู้คนเริ่มผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาถามหาชาไทยมากขึ้น

เวลาแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าเครื่องดื่มหอม ๆ อุ่น ๆ

แต่ก็เช่นกัน ปัญหามาเยือน เมื่อบางครั้งเราใจร้อนเกิน เทนมลงไปในกามากไป ก็ให้นมเดือดจนล้นออกมาเปรอะโต๊ะ และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยปลั๊กไฟ ระบบทุกอย่างถูกปิดอย่างรวดเร็วที่สุด เช่นเดียวกับการทำความสะอาด แต่การเรียนรู้ของเราใช้เวลามากกว่าที่คิด เพราะมันยังมีข้อผิดพลาดครั้งที่สอง และสาม

เราขายทุกอย่างจนกระทั่งของหมด ถึงจะเหลือเวลาให้เปิดร้านต่อได้ไม่นานนัก แต่ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่าเตรียมของมาน้อยเกินไปหรือเปล่า

เอาน่ะ พรุ่งนี้ยังมี

...

งานครั้งนี้จัดสองวันต่อกัน ซึ่งวันที่สองจะมีเพียงครึ่งวันเท่านั้น เป้าหมายของร้านเราคือ ขายให้ได้เท่ากับวันแรก หรือมากกว่า

รุ่นพี่ที่มาในวันแรกแปะมือสับเปลี่ยนเป็นรุ่นพี่อีกกลุ่มหนึ่งแทน .. ซึ่งในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่า งานวันที่สอง ซึ่งเราได้ลองสนามมาหนึ่งวันแล้ว จะยังวายป่วงได้มากกว่าที่คิด

ความใจร้อนอีกเช่นกัน ที่ทำให้เราหุงข้าวในปริมาณที่มากที่สุดเท่าที่หม้อหุงข้าวมีสเกลระบุว่าใส่ได้ แกงถูกเตรียมเช่นเดิม ชาไทยยังมีเช่นเดิม ทุกอย่างเหมือนคลื่นใต้น้ำ ที่ปะทุออกมาในช่วงเวลาที่ลูกค้าต่อแถวยาวที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น .. ข้าวไม่สุก สักหม้อเดียว

ตอนนั้นจำได้ว่าสติไม่มีแล้ว นับว่าโชคดีจริง ๆ ที่ตรงนั้นมีรุ่นพี่ทุกคนอยู่ด้วย เป็นวินาทีที่เข้าใจเลยว่าวุฒิภาวะคืออะไร และเรายังห่างไกลจากคำนั้นขนาดไหน พี่ทุกคนใจเย็นมาก ปากบอกขอโทษลูกค้าไป มือก็หาวิธีแก้ปัญหาไปด้วย

เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น หม้อหุงข้าวพังแล้ว ? หรือเป็นเราเองที่ทำอะไรผิดไป ข้าวที่ผิดพลาดถูกเททิ้งหม้อแล้วหม้อเล่า ให้นึกเสียดายว่าตัวเองกำลังทำลายทรัพยากรอาหารไปมากแค่ไหน สักพักกาต้มน้ำก็เอากับเขาด้วย อยู่ ๆ ก็ไม่ยอมตัดเวลาที่น้ำเดือด

ท่ามกลางความทุลักทุเล กิจการเฉพาะกิจของเราดำเนินต่อไปได้ ด้วยการหุงข้าวในปริมาณที่น้อยลงมาก ๆ อย่างที่เราหุงสำหรับการใช้ชีวิตปกติ

พอจบงานยอดขายของวันที่สองที่เราทำได้มากกว่าวันแรกอยู่เล็กน้อย แต่ภาพที่จำได้ติดตาติดใจ คือลูกค้าที่เราต้องปฏิเสธไป ระหว่างที่เกิดปัญหาขึ้น

เสียใจนะ คิดว่าถ้าจัดการทุกอย่างได้ดีกว่านี้ ถ้ามีสติกว่านี้ ถ้าเลือกจะเช่าหม้อหุงข้าวใบใหญ่ ๆ ระดับที่ร้านขายอาหารใช้มาตั้งแต่แรก ความวุ่นวายทั้งหมดนี่ก็คงไม่เกิดขึ้นหรือเปล่า

เรากับรุ่นพี่ทุกคนช่วยกันเก็บของ ตอนนั้นพูดอะไรไม่ค่อยออก ในใจรู้สึกขอบคุณมาก ๆ และก็อยากขอโทษมาก ๆ ที่เราจัดการทุกอย่างได้ไม่ดีพอ

ทุกคนช่วยขนของลงมา งานที่แสนหนักหนาได้จบลงแล้ว ระหว่างทางเดินกลับ เรารู้เลยว่าทุกคนเหนื่อยมาก เช่นกันกับเราที่รู้สึกนอยด์เป็นพิเศษ แต่พอได้กลับมาที่บ้าน สงบสติอารมณ์ทบทวนดู ก็ทำให้รู้หลาย ๆ อย่างจากงานนี้

และหนึ่งคำที่อยากจะจำจนขึ้นใจคือคำว่า 'ประมาณตน'

มันไม่ได้หมายถึงการเจียมเนื้อเจียมตัว คิดว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยความสามารถ แต่มันคือการรู้จักตัวเอง รู้ว่าจะรับมือสิ่งใดได้แค่ไหน ถ้าด้วยขีดจำกัดเดิมเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ ถ้าไม่ เราจะทำยังไง

เราไม่เคยคิดว่าหม้อหุงข้าวปกติสามใบจะมีความสามารถพอที่จะขายในงานมหา'ลัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เราไม่เคยคิดว่ากาต้มน้ำบ้าน ๆ จะอดทนกับการออกร้านของเรามากแค่ไหน และเราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะปรุงแกงทุกหม้อให้เหมือนกันได้หรือไม่

ใช่เราอยากขายของ เราอยากให้ผู้บริโภคได้สิ่งที่ดี เราอยากให้มีคนมาร้านเราเยอะ ๆ

แต่ถ้าคนมาเยอะกว่านี้ เราจะมีความสามารถพอที่จะรับมือสถาการณ์นั้นได้ไหวไหม

ในวินาทีแรก ความไม่รู้ทุกอย่างนั้นคือความเสียดาย แต่สุดท้ายมันก็กลายมาเป็นความอิ่มเอมอย่างที่สุด .. เราได้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง และก็คงจะยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อยู่อีกมากมาย

"พี่ หนูไม่เอากำไรส่วนของหนูนะ" เราตัดสินใจบอกกับรุ่นพี่ที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาตั้งแต่ต้น "หนูว่าคนที่ได้อะไรจากงานนี้มากที่สุด ก็คือตัวหนูเองนั่นแหละ"

เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ แม้จะไม่อาจสาธยายออกมาเป็นข้อ ๆ ได้หมด แต่อย่างน้อยเราก็อยากจะจดจำความรู้สึกในตอนนั้นเอาไว้

ถ้างานครั้งที่เป็นหนัง ก็คงจะไม่ใช้หนังสร้างแรงบันดาลใจแบบที่สุดท้ายตัวเอกก็เอาชนะอุปสรรคได้อย่างสวยงาม มันเป็นหนังที่ เรายอมรับว่าจบด้วยการปวดหัวกับทุกอย่างตรงหน้า เราผ่านมันมาได้ แต่ไม่สวยงามนัก .. ถ้าหากเราเอาความสวยงามวางไว้ที่ตรงนั้นล่ะก็นะ

กำไรที่ได้จากการออกร้าน ถูกใช้ในการฉลองกันอย่างที่ตั้งใจไว้ เราจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นเงินจำนวนเท่าไร แต่จำได้ว่าเราทุกคนสนุกที่ได้ใช้เวลาตรงนั้นด้วยกัน และเราว่าตอนนั้นต่างหาก คือช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด

และก็เหนื่อยที่สุดเช่นกัน .. นึกภาพแบกหม้อหุงข้าวขึ้นเขาลงเขาดูสิ อีกนิดก็จะพากันไปเป็นศิษย์เส้าหลินได้แล้ว

แต่ถ้าย้อนนึกกลับไปว่าคุ้มไหม แน่นอนว่ามันเกินคุ้ม .. คุ้มจนคิดว่าไม่น่าจะบรรยายเป็นตัวอักษรในนี้ได้หมด

ในการเลี้ยงฉลอง ขอบคุณทุกคนที่เหนื่อยมาด้วยกันในวันนั้น รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า

"สนุกอีกนะ ปีหน้าจัดอีก"

เรากับรุ่นพี่ผู้บุกเบิกหันมองหน้ากัน หัวเราะแห้ง ๆ .. ภาพตั้งแต่วันแรกที่พากันไปเอาเอกสารแค่เพราะนึกสนุกย้อนกลับมาในหัว ตอนที่นั่งงมอยู่กับตัวเอกสาร ตอนที่ต้องรีบกินอย่างอื่นแทนข้าวกลางวัน เพราะต้องไปส่งเอกสารให้ทัน ตอนแบกของทุกอย่างขึ้นเขา และอีกความโกลาหลร้อยแปด

แต่มันไม่แย่นะ .. สำหรับเรา มันไม่แย่เลย

เราคิดว่าตอนนั้นตัวเองน่าจะอมยิ้ม แต่ในตาคงมีแววกังวลหน่อย ๆ เราไม่แน่ใจเลยว่าถ้าลองใหม่คราวหน้า จะจัดการทุกอย่างได้ดีขึ้นกว่าเดิมไหม หรือจะมีปัญหาอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า

แต่เราก็ตอบรุ่นพี่คนนั้นไป "ถ้าพี่ทำ หนูก็ทำค่ะ"

ก็ถ้ามีคนมาผจญภัยด้วยกัน เราจะต้องกลัวอะไร อย่างมาก ก็แค่ได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร เพิ่มมาใหม่ขึ้นอีกเรื่องเท่านั้นเอง

แต่จะได้จัดอีกไหม นั่นก็ต้องไว้คุยกันอีกทีนะฮะ :3

Comments