“แค่ฝันก้อไม่ด้ายเหรอ”
ตาแป๋ว ๆ จ้องมาผมนิ่ง .. ความรู้สึกบางสิ่งที่คุ้นเคยไหลผ่านลูกตามายังสมอง ผมไตร่ตรองคิด นึกหัวเราะอยู่ในใจ
เจ้าตัวเปี๊ยกตรงหน้ายังไม่ประสาโลก
ผมอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นมานั่งบนตัก “ไหน ใครว่าอะไร”
“พี่เอกบอกว่าความฝันผิดโกดหมาย” พูดไปก็ทำหน้าเบ้ “ผมไม่ได้อยากจะฝันสักหน่อย มันมาของมันเอง” หน้าใสมีสีแดงระเรื่อประหนึ่งลูกมะเขือสุขนั้นช่างมุ่ยตุ้ย “ผมจะถูกจับหรือเปล่า”
ผมเห็นท่าทางอย่างนั้นแล้วก็อดที่จะขำเบา ๆ ไม่ได้
“ไม่หรอกลูก ฝันน่ะไม่ผิดกฎหมาย .. อย่างน้อยก็ในเวลานี้ล่ะนะ”
อย่างน้อยก็ในเวลานี้
ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าความฝันที่เจ้าตัวเปี๊ยกพูดถึง กับความฝันที่เจ้าเอก เด็กข้างบ้านเอามาเป่าหูน้องนั้น เป็นคนละความฝันกัน .. แน่นอนล่ะ ขอบเขตของความฝันคนตัวเล็กกว้างไกลไพศาลกว่าคนตัวใหญ่เสมอ
ผมวางเจ้าเปี๊ยกลงกับพื้น มองเขาวิ่งออกไปยังสนามหญ้า ความฝันในสมองน้อย ๆ นั้นจะเป็นเรื่องอะไรกันผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร บางวันเขาก็เล่าว่าเขาไปจับไดโนเสาร์แถวภูเขาไฟ บางวันเขาก็บอกว่าเขาไปบินชมดอกไม้กับผีเสื้อ .. ความฝันแบบนี้ไม่ทำร้ายใคร
ที่มันไม่เคยทำร้าย เพราะมันไม่มีวันเป็นจริง
-------
หน้าหนึ่งของแฟ้มเปิดออก พร้อมกับตัวเลขสีแดงแสบตา .. และบาดจิตบาดใจ พิมพ์ประทับไว้ในช่องตาราง คำบรรยายหัวข้ออันแสนปวดร้าวเขียนว่า ‘ยอดค้างชำระ’
“มากขนาดนี้เลยเหรอ” ผมอดที่จะทำตาโตไม่ได้ นิ้วมือไล่นับไปตามเลขในแต่ละหลักเลขช้า ๆ ด้วยไม่ไว้ใจแม้กระทั่งลูกน้ำที่เขียนคั่นทีละสามหลักไว้อยู่สามตัว
“ผมควรยินดีกับธุรกิจของคุณ หรือว่าไว้อาลัยให้กับคนพวกนั้นดี”
หากคำตอบที่ได้กลับมาจากภรรยามีแต่อาการยักไหล่ ผมเลยเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้เจ้าเปี๊ยกมาบอกผมเรื่องความฝัน..”
“ฉันก็เห็นเขาฝันทุกวันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติของเด็ก” เธอตอบเสียที แต่ยังคงง่วนอยู่กับการจัดเรียงแฟ้มลูกหนี้ธุรกิจใหญ่ให้เข้าที่เข้าทาง
สักพัก เหมือนเธอจะรู้สึกได้ถึงอาการเงียบของผม จึงหันมาถาม “อย่าบอกนะว่าความฝันของเขาไม่ใช่เรื่องไปว่ายน้ำกับโลมาแล้ว”
“ไม่ ๆ” ผมตอบ แต่ก็ต้องรีบยกมือปราม ก่อนที่เธอจะแตกตื่นไปกว่านั้น “ผมหมายถึงเขาฝันเรื่องต่าง ๆ กันออกไป อย่างวันนี้ก็เหมือนจะออกไปนอกโลก”
แฟ้มทั้งตั้งที่อยู่ในมือของภรรยาผมร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง “นั่นมันหายนะ”
“ไม่ ที่รัก เขาแค่ฝันว่าเขาเกาะว่าวปักเป้าออกไปนอกโลก..”
“นั่นแหละหายนะ”
“เกาะว่าวเนี่ยนะ” ผมพยายามจะดึงสติเธอกลับมา มันจะอะไรนักหนากับการที่เด็กคนหนึ่งฝันว่าเกาะว่าวออกไปนอกโลก ผมมองไม่เห็นความเป็นไปได้ใด ๆ ในความฝันนี้
แต่เชื่อสิ เธอมองโลกขาดกว่าผม
“ว่าวนะที่รัก .. ข้อหนึ่งมันมีอยู่จริง และข้อสอง เราต่างรู้ว่าเขาไปนอกโลกได้ จริงอยู่ว่าเขาก็ไปว่ายน้ำกับปลาโลมาได้ แต่เชื่อเถอะว่าเราจะไม่มีทางพาเขาไปซาฟารี อันที่จริงฉันบอกคุณแล้วด้วยซ้ำว่าอย่าให้ลูกดูรายการสัตว์โลกพวกนั้น”
“โถ่ มันก็เป็นรายการความรู้ ...”
“ฉันพนันว่ารายการความรู้พวกนั้นเอาเรื่องคนไปนอกโลกได้มาใส่หัวเขาด้วย” เธอพูดหน้าเครียด เก็บข้าวเก็บของเข้าในวงแขน ถอนหายใจ “เอาเป็นว่าฉันจะไปลงคอร์สเรียนไว้ ฉันว่าลูกเรามีเวลาว่างมากเกินไปแล้ว”
จบประโยค เธอก็เดินขึ้นบันไดหายวับไปอยู่ในห้องทำงาน ผมรู้ได้เลยว่าเธอจะขังตัวเองอยู่ในนั้นสักสามสี่ชั่วโมง .. และกว่าจะถึงตอบนั้น การโต้ตอบกลับของผมก็จะเป็นเพียงเรื่องราวในอดีต
เจ้าตัวเล็กที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในสวนหันมาส่งยิ้ม ไม่รู้เลยว่าชะตาภายหน้าของตนเองจะต้องเจอกับอะไร
“ผมอยากให้คุณคิดดูใหม่ เรื่องส่งลูกไปเรียน นี่เขายังไม่เข้าอนุบาลด้วยซ้ำนะ” ผมพยายามพูดทุกถ้อยทุกคำด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด
“แล้วยังไง วัวหายล้อมคอก คุณน่าจะรู้จักสำนวนนี้”
“เขายังเด็กนะ...”
“ไม่อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก ตัดไฟแต่ต้นลม .. เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด คุณเห็นไหม ปู่ย่าตายายสอนกันมาอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ”
มีเมียเหมือนมีแม่ .. ผมไม่แน่ใจว่านี่เป็นสำนวนด้วยหรือเปล่า
แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเจ้าเปี๊ยกที่นั่งแทะแครอทอยู่ตรงมุมห้องต่างหาก
“คุณจะส่งเขาไปเรียนอะไร”
“คณิตศาสตร์ .. ฉันว่าเขาเด็กเกินกว่าที่จะเรียนวิทยาศาสตร์นะคุณว่าไหม แต่น่าจะไหวถ้าให้เรียนประวัติวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนนิทานนั่นแหละ แล้วก็อาจจะลงอังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ไปด้วย ที่จริงช่วงนี้สเปนก็น่าสนใจนะ เขาว่าคนเรียนรู้ได้แปดภาษา นี่ก็ หนึ่ง สอง สาม สี่...”
“นี่มันตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงกันที่รัก” แค่ฟังผมยังเหนื่อยใจ
“เก้าโมงถึงสองทุ่ม ที่ฉันตั้งใจไว้ .. ฉันว่าถึงเขาจะกลับมาบ้านทันดูละครก็ไม่น่าเป็นอะไร เพราะถ้าเขาฝันจะเป็นนักธุรกิจพันล้านอายุยี่สิบห้าที่มีสาวหน้าตาดีมารับจ้างแต่งงานด้วย .. ฉันมองไม่เห็นความเป็นไปได้”
“เราต้องจริงจังขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ” ผมพยายามควานหาทางอุธรณ์ในความมืด ที่จริงเป็นความผิดของผมเองที่เริ่มเรื่องตั้งแต่ต้น
“ภาษีเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นที่บ้านเราจ่ายได้อยู่แล้ว”
ผมอยากจะอัดเสียงตัวเองที่พูดประโยคนั้นไว้ แล้วกรอกลับมาฟังใหม่ เพราะแค่ผู้หญิงตรงหน้าผมเลิกคิ้วสูง ผมก็ต้องกลืนทุกสิ่งกลับลงไปในลำคอ
“คุณก็เห็นว่ามันมีอยู่กี่หลัก” เธอพูดถึงตัวเลขสีแดงบนกระดาษ “มันไม่ใช่แค่ภาษี แต่ยังมีเงินทุนสารพัด คุณก็รู้ว่ารัฐไม่สนับสนุนคนนอกกรอบ และลูกเราจะต้องไม่ไปเจอชีวิตแบบนั้น ฉันรักลูก คุณต้องเข้าใจฉันนะ”
นี่ล่ะประโยคเด็ด
“ผมเข้าใจคุณ”
ไม่ทันผ่านสมอง ไขสันหลังของผมอนุมัติให้ประโยคนั้นไหลออกจากปากไปเรียบร้อย
เอาเถอะ เปล่าประโยชน์
“ผมก็รักลูกเหมือนคุณนั่นแหละ”
-------
ผมเองก็โตมาแบบนี้ ผมควรจะเคยชิน แต่ทำไมผมถึงยังรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังหมุนโลกใบนี้ไปในทิศทางที่ผิดพลาด .. โลกของผม และ .. ตอนนี้เหตุการณ์แบบเดียวกันกำลังจะเกิดขึ้นกับโลกของเจ้าตัวเปี๊ยก
ภาษีความฝันสร้างมูลค่าอย่างมหาศาลให้กับธุรกิจการเงิน และแน่นอน รายได้เข้ารัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทางกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าผู้นำประเทศในเวลานี้มีแผนอันแยบคายวางไว้เป็นขั้นเป็นตอนแล้วว่าจะนำพาความเรืองรองผ่องอำไพไปยังทิศทางใด และการมุ่งเน้นไปยังจุดนั้น ทำให้บางสิ่งต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
รายชื่ออาชีพที่ได้รับการสนันสนุนสองร้อยห้าสิบสาขา แทบจะกลายเป็นคำท่องอาขยานที่พ่อแม่ทุกบ้านจดจำได้ขึ้นใจ หากลูกบ้านไหนเดินไปในทางสายนี้ ตลอดชีวิตรับประกันได้เลยว่าจะมีแต่ความสุขสบายเข้ามาหา แต่ถ้าเดินไปในทางอื่น.. นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันต่อไป
มหาเศรษฐีบางคนในโลกพิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้ กับการแหกกฏบทบัญญัติอาชีพสำคัญออกไปเปิดทางของตัวเอง แต่นั่นเป็นเรื่องของ ‘เขา’ สิ่งที่เราควรตระหนักอยู่เสมอคือตัวเลขสีแดงในบัญชีกู้ยืมเพื่อความฝันของบริษัทภรรยาผมต่างหาก
ไม่มีข้อโต้เถียงเลยว่าระบบมุ่งเน้นพัฒนาอาชีพสองร้อยห้าสิบสาขานี้ทำให้ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา ประเทศพัฒนาก้าวกระโดดขนาดไหน และเพราะการเลือกเดินในทางที่ถูกที่ควรนั่นแหละที่ทำให้ตัวเลขในบัญชีของผมอยู่ในระดับที่อุ่นใจไร้ตัวแดง
หรือแท้จริงแล้ว เธอจะพูดถูก
เจ้าตัวเปี๊ยกเดินตุปัดตุเป๋เข้ามา คางน้อย ๆ พาดวางไว้บนตักของผม
“ออกไปเดินเล่นกันไหม” ผมถาม
บางครั้งการใช้เวลาว่างไปกับเรื่องธรรมดา ๆ บ้าง ก็ให้ความรู้สึกสบายใจดี
ผมอุ้มพาเจ้าตัวเล็กเดินออกมาตามซอย บรรยากาศเงียบสงบ เหมือนเวลาในโลกอันเร่งรีบถูกชะลอลงด้วยก้าวที่ยาวนานขึ้น
“เราไปหนาย” เสียงเล็กถามผม ด้วยการออกเสียงแปลก ๆ ตามประสาเด็ก
“ไม่รู้สิลูก” ผมตอบ ผมไม่รู้จริง ๆ บางทีผมก็แค่อยากเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางที่ผมอยากไป “ไม่ดีเหรอ เหมือนไปผจญภัยไง”
“ผโจนพายมีมังกรหมาย”
ผมนึกขำ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกกลัว เลยไม่แกล้งอะไร “ไม่มีหรอกลูก”
ผิดคาดเจ้าน้อยทำหน้ามุ่ย “งั้นก้อไม่ซาหนูกสิ”
“หืม?” ผมเลิกคิ้ว
“ก้อถ้าไปผโจนพายแล้วไม่มี ไม่มี มังกร ก็ไม่ซาหนูก”
“แล้วไม่กลัวมังกรเหรอ”
ตัวเล็ก ๆ ส่ายดุ๊กดิ๊ก “ม่ายกัว”
“มังกรพ่นไฟได้นะ”
“ม่าย .. มีดาบ ม่ายกัว”
คราวนี้ผมไม่ได้แค่นึกขำแล้ว แต่ผมขำออกมาจริง ๆ นี่สินะเสน่ห์ของการเป็นเด็ก
เราเดินเล่นกันอยู่อย่างนั้นจนเริ่มค่ำ แล้วค่อยวกกลับเข้าบ้านไปเจอตาเขียวปัดของภรรยาผม แม่ของเจ้าตัวเล็ก .. นักรบไม่กลัวมังกรจะหงอก็คราวนี้
-------
สัปดาห์หนึ่งผ่านพ้นไป สุดท้ายคนที่ตัดสินใจเลือกทางในกรอบอย่างผมก็ไม่อาจทัดทานเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะทุกเหตุผลดูจะสนับสนุนไปในทางเดียวกัน
ผมรักลูก และอยากให้ลูกได้พบกับชีวิตที่ดี
ยิ่งชีวิตดี ๆ ในยุคนี้ ได้มาง่ายเพียงแค่เลือกให้ถูก นี่ล่ะ เหตุผลที่คนเรามีสมองไว้ไตร่ตรองใคร่ครวญคิด
ผมทำถูกแล้ว ผมบอกตัวเองประมาณล้านหน
กระเป๋าสีดำขลับใบใหม่วางรอไว้ในห้องนั่งเล่น เจ้าตัวเล็กหน่อยตัวเองลงมาตามบันไดทีละขั้น จนถึงกระเป๋าใบใหม่ พยายามจะยกขึ้นสะพายหลัง แต่แค่เพียงจะดึงให้ขยับยังทำไม่ได้
ภรรยาของผมเดินตามลงมา ด้วยแรงของผู้ใหญ่ เธอหิ้วกระเป๋าใบนั้นขึ้นได้สบาย
ผมมองทั้งสองคนเดินออกจากประตูไป ก่อนบานประตูจะปิดลง ผมได้ยินเจ้าเปี๊ยกเงยถามคุณแม่ว่า
“จาพาปายหนาย”
ผมไม่ได้ยินหรอกว่าเธอตอบว่าอะไร ถ้าตรงไปตรงมาสักนิด ก็คงจะเป็น “พาไปเรียน” หรืออาจจะหลอกว่า “พาไปเที่ยว”
แต่ผมรู้ดีว่าทางข้างหน้าที่เราเลือกให้จะพาเจ้าตัวน้อยของเราไปไหน
ทางนั้นจะพาเขาไปยังชีวิตที่ดีในอนาคต
ชีวิตที่จะไม่ต้องเสียภาษีความฝัน
และเส้นทางที่จะไปยังจุดหมายนั้น
ไม่มีมังกร.

Comments
Post a Comment