[เที่ยวตามใจในไทเป] 10 วัน 10 พิพิธภัณฑ์ จัดไป ! Ep. 4 : ตามหาไปรษณีย์ไทยใน Chunghwa Postal Museum


เรียกได้ว่าหายหน้าหายตาจากการพิมพ์นู่นนั่นนี่ไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดเราก็ได้กลับมาพูดถึงมิวเซียมแห่งที่ 7 ประจำทริปนี้จนได้

สำหรับ Chunghwa Postal Museum นี่ เรียกได้ว่าตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง Chiang Kai-shek Memorial Hall กับ National Museum of History แทบจะพอดิบพอดี ในกรณีที่ไปที่ใดที่หนึ่งแล้วนก ก็เพียงเดินเป็นเส้นตรงมา ... แต่ว่าไม่นกจะดีที่สุด

ตัวอาคารเป็นตึกหลังหนึ่ง ดูภายนอกก็ธรรมดา ๆ อย่างที่มิวเซียมที่นี่ชอบเป็นกัน ชั้นล่างเป็นที่ทำการไปรษณีย์ มีเคาท์เตอร์ให้เราเข้าไปติดต่อ ก็บอกเขาว่าจะเข้าพิพิธภัณฑ์ จัดการจ่ายเงินอะไรให้เรียบร้อย ก็จะได้ตั๋วมาหน้าตาแบบนี้ .. ใช่แล้ว ตั๋วที่นี่เป็นโปสการ์ด 

พอดีว่าช่วงที่ไปคือช่วงหลังตรุษจีนพอดี บรรยากาศการเข้าสู่ปีใหม่ที่ไต้หวันจึงยังตลบอบอวลอยู่ และปีนี้เป็นปีจอ เขาจึงใช้คอนเซปน้องมาเป็นหน้าโปสการ์ด และนิทรรศการหมุนเวียน


เมื่อได้ตั๋วแล้ว ก็ได้เวลามุ่งขึ้นสู่ชั้นบนสุด ซึ่งก็คือส่วนของนิทรรศการหมุนเวียนนั่นล่ะ พอก้าวออกจากลิบมา ตรงโถงกลางก็จะพบว่า นอกจากจะมีฉากเกี่ยวกับน้องหมาหลากหน้าหลากตาให้ได้ถ่ายรูปกัน ยังมีมุมให้ปั๊มตราประทับรูปน้องหมาเก็บไว้ หรือแม้กระทั่งมุมให้เขียนใบขอพรรูปน้องหมาแล้วเอาไปแขวนไว้ก็ยังมี !


เห็นได้ชัดเลยล่ะว่าชั้นนิทรรศการหมุนเวียนอันนี้เอาใจคุณน้องคุณหนูและสายมุ้งมิ้งสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใช่ว่าเรื่องของน้องหมา (สุนัขก็ได้ค่ะ แต่ว่าน้องสุนัขมันดูไม่มุ้งมิ้งเท่าไร) ไม่ได้มีแต่ความน่ารักน่าเกาคางเท่านั้น ในมุมหนึ่งของชั้นยังมีบางอย่างแอบซ่อนไว้อย่างแนบเนียน


นั่นคือมุมน้องหมากับอวกาศนั่นเองงง  .. งง
แต่ก็ยังคงคอนเซปความมุ้งมิ้งกรุ๊งกริ๊งสุดลิ่มทิ่มประตูด้วยเกมน่ารัก ๆ อย่างพาน้องหมากลับไปหายานแม่ ด้วยกระดานเขาวงกตกับตัวการ์ตูนน้องหมาติดแม่เหล็กอันเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าในมุมคนที่โตมาแล้วก็มองว่าเกมมันไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอะไรมากมาย แต่คงถูกใจเด็ก ๆ ไม่น้อยเลย

ส่วนปีนักษัตรอื่น ๆ ก็ไม่ได้ถูกลืมแต่อย่างใดนะ ยังมีจัดโปสการ์ดของแต่ละปีให้ได้เดินชมกันในอีกมุมหนึ่งด้วย

คราวนี้ก็ออกจากชั้นนิทรรศการหมุนเวียนได้ .. เรื่องน่าเศร้าใจอันมโหฬารที่สุดของมิวเซียมแห่งนี้ เห็นทีจะเป็นเรื่องภาษา คำบรรยายที่นี่เกินกว่าครึ่ง เป็นภาษาจีนล้วน ! คนรู้จีนงู ๆ ปลา ๆ ก็ต้องพากันดำน้ำไป .. แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีภาษาอังกฤษนะ มี แค่น้อยมากกก..กกก เท่านั้นเอง (ฮือ)


มุมต่อ ๆ มา จะเป็นการแนะนำ 'ไต้หวัน' ด้วยการใช้ดวงตราไปรษณียากรเป็นสื่อ ตรงนี้ถ้าใครถึกใครทนก็เดินวนอ่านได้หลายชั่วโมงอยู่ มีตั้งแต่การแนะนำบุคคลสำคัญ วัฒนธรรม อาหาร ไปยันสถานที่ท่องเที่ยว เรียกว่าที่เดียวก็ครบจบทั่วไต้หวัน (แต่แบบมองผ่านแสตมป์นะ) 

พอแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของการใช้ดวงตราไปรษณียากรเล่าเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มเข้าสู่การเล่าที่มาที่ไป ของไปรษณีย์ในอดีต .. แน่นอนว่าเรื่องนี้คงต้องพาย้อนไปตั้งแต่เรื่องไปรษณีย์ของทางแผ่นดินใหญ่ และมันจะเริ่มจากอะไรล่ะถ้าไม่ได้ระบบข่าวสารของราชการ

ไล่ตั้งแต่การใช้ทหารม้าเร็ว การตั้งสถานีม้าเอยอะไรเอย มาจนกระทั่งวิวัฒนาการของการปิดผนึกจดหมายในรูปแบบต่าง ๆ บางอันก็มีแต่เรื่องราว บางอันก็มีของจริงให้เราได้ดูด้วย

การมาที่นี่ทำให้บุรุษไปรษณีย์เท่ขึ้นเป็นกอง เพราะพอพูดถึงสงครามคนเรามักจะนึกถึงทหารที่ต้องต่อสู้กับอริราชศัตรู สละชีพใต้คบดาบ แต่ที่นี่ได้เสนอเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของสงครามด้วยการ ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญขนาดไหน ต่อให้ทิ้งระเบิดกันจนวอดวายไปรษณีย์ก็ยังต้องทำงานต่อไป แม้ในมือจะมีเพียงซองจดหมาย ไม่ใช่มีดพก .. ตรงนี้เขามีตู้ไปรษณีย์ที่ผ่านการโดนระเบิดมาให้ดูด้วย ซึ่งก็งง ๆ อยู่ว่าลืมถ่ายมาได้อย่างไร (แหะ)

พูดถึงเรื่องตู้ไปรษณีย์แล้ว เรื่องนี้ก็มีวิวัฒนาการ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน หน้าตาของตู้ไปรษณีย์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน ตรงนี้ก็มีการแทรกเกมเล็ก ๆ คือมีท่อให้เราหมุนต่อตู้ไปรษณีย์แต่และเวอร์ชันให้ถูกต้อง .. แต่ต่อให้ไม่ถูกก็ไม่มีใครรู้หรอก อันนี้เราหมุนเองดูเอง 



ไหน ๆ ก็มีเรื่องราวไปรษณีย์จีน-ไต้หวันมาขนาดนี้ มีหรือที่เขาจะหยุด เรื่องนี้มันต้องขยายไปยันระดับนานาชาติ ! (อันนี้ก็เริ่มเล่นใหญ่) ในชั้นต่อมาก็จะมีการจัดตู้ไปรษณีย์ของแต่ละประเทศ ตราของหน่วยงานไปรษณีย์ และภาพการรับส่งไปรษณีย์ในอดีตให้ได้รับชมกันด้วย ... ในส่วนของตู้นั้น ไม่มีของประเทศไทย แต่ในส่วนของภาพและตรานั้นมีอยู่

คิดดูว่าขนาดส่งจดหมายในเรือยังต้องหยอดใส่ในตู้ ก็คิดอยู่ว่าถ้าตอนโน้มตัวส่งเกิดเสียหลักขึ้นมา จะตกน้ำ หรือตกลงไปในเรือกันแน่นะ อ๊ะ ! พล็อตนิยายรักต้องมาละทีนี้


พอลองเหลียวซ้ายแลขวา สายตาก็ดันไปป๊ะเข้ากับทางเข้าห้องเล็ก ๆ ที่อีกฝั่งหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเราเลยลองเข้าไปดูสักหน่อย สิ่งที่เจอก็คือ...


ตู้ (?) บรรจุกรอบหน้าตาแบบนี้ที่เรียงรายยาวรอบห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ละโซนจะมีป้ายแปะแยกไว้เป็นชื่อของแต่ละประเทศ เรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ

ถ้าจะดูของทุกประเทศคงไม่ได้ไปไหนแน่ ๆ เราเลยเลือกประเทศแม่อันเป็นที่รักยิ่งของเรา


หน้าแรกสุดจะระบุข้อมูลต่าง ๆ ของประเทศนั้น ๆไว้ .. ตอนปี 1992 นี่เรายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำนะนั่น

ดวงตราไปรษณียากรตรงส่วนนี้ก็มีจัดเก็บไว้หลากหลายเลยล่ะ ตั้งแต่แสตมป์ในโอกาสพิเศษ ไปจนถึงหัวข้อเฉพาะอย่างนก หรือปลาท้องถิ่น 

บุรุษไปรษณีสมัยก่อนเป็นยังไงก็มีให้ดูในแสตมป์ด้วย ... ตู้ไปรษณีย์ของเรานี่จะเปลี่ยนหน้าตาไปแค่ไหน ก็ต้องคงคอนเซฟสีแดงเอาไว้ ชายเสื้อนี่ก็เอาออกนอก เข้าใน ไว้นอกใหม่ แลวเข้าในตามลำดับ แต่กระเป๋าเคยเป็นยังไงก็อย่างนั้น 

ทุกวันนี้เขาไม่ได้ใส่ชุดอย่างนี้กันแล้วใช่ไหมนะ เหมือนว่าจะกลายเป็นโทนดำแดงไฉไลมีมอเตอร์ไซค์ขับ ก็ว่ากันไป


อย่างที่บอกว่าแสตมป์ที่จัดเก็บไว้มีหลายหัวข้อมาก แต่ช่วงนั้นดันนึกสนุกอยากลองอ่านประวัติศาสตร์ผ่านแสตมป์ดูเล่น ๆ บ้าง เลยคัดมาแต่แสตมป์ 'วันเด็ก' โดยเฉพาะ ก็จะประมาณนี้

ปี 1959 - 1963 อยู่ในสมัยของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์


ปี 1960 คำขวัญคือ 'ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด'


ปี  1963 คำขวัญคือ  'ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด'

ปี 1963 - 1973 เป็นสมัยของ จอมพล ถนอม กิตติขจร 


ปี 1966 คำขวัญคือ 'เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี'

ปี 1976 มีการผลัดเปลี่ยนตำแหน่งถึง 3 คนด้วยกัน ได้แก่ 
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และ คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร


ปี 1976 คำขวัญคือ 'เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดีมีวินัยเสียแต่บัดนี้'

ซึ่งตั้งแต่ปี 1964 ก็มีการเปลี่ยนวันเด็กจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมแล้ว ดังนั้นวันเด็กในปี 1976 ก็น่าจะอยู่ในสมัยของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

วันเด็กปี 1977 เป็นสมัยของ คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร


ปี 1977 คำขวัญคือ 'รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย'

อยู่ ๆ เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น จากเดิม (ลองเลื่อนขึ้นไปดูได้) เด็กไทยจะต้องมีจุก ใส่เสื้อคอกระเช้า หรือมีความเกี่ยวข้องกับคุณธรรมในทางสัญลักษณ์ นี่เป็นแสตมป์ดวงแรกในเซตนี้ ที่สื่อถึงเด็กที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต แถมยังเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่สูทผูกไทเสียด้วย

จะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่นี่คือวันเด็กแรกหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 1976

วันเด็กปี1978 - 1980 เป็นสมัยของ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์


ปี 1978 คำขวัญคือ 'เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง'


ปี 1979 คำขวัญคือ 'เด็กไทยคือหัวใจของชาติ'

ทั้งคำขวัญและแสตมป์ในสมัยนี้ชัดเจนว่า มีการเชื่อมโยง 'เด็กไทย' ไว้กับ 'ชาติ' อย่างเด่นชัด ไม่ใช่เพียงแค่มีอัตลักษณ์ความเป็นชาติไว้ในตัว อย่างเรื่องที่เรียกกันว่าไทย ๆ ทั้งหลาย แต่ในช่วงสองสามปีตรงนี้ ภาพเด็กไทยในแสตมป์กลายเป็นมีบทบาทในการถือธง และระบายสีธงชาติ อย่างที่ไม่เคยมีในแสตมป์ดวงไหนก่อนหน้านี้ .. และหลังจากนี้

วันเด็กปี 1981 - 1988 เป็นสมัยของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ 


ปี 1981 คำขวัญคือ 'เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม'

แสตมป์ของปีนี้น่าจะสะดุดใจเราที่สุดในชุดแล้ว ด้วยมันดูโดดออกมาจากธีม 'เด็กไทย' แบบอื่นอย่างสุดเหวี่ยง จนอดคิดไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรามีเครื่องบิน เรามีทีวี มีรถไฟ(ที่ดูใหม่กว่าที่วิ่งอยู่จริง ๆ ตอนนี้ด้วยซ้ำ) มีเครื่องบิน มีหุ่นยนต์ .. มันเกิดอะไรขึ้น ???

เป็นเพราะกระแสวิทยาศาสตร์จาก Star wars ที่เข้าฉายครั้งแรกในปี 1977 ? หรือเพราะกระแสการสำรวจอวกาศของ NASA ? 

ผลสรุปจากการค้นหาครั้งนี้ยังไม่มีคำตอบ และคงจะไม่มีคำตอบที่แน่นอนไปกว่าการหาเหตุการณ์ช่วงใกล้ ๆ ก่อนหน้ามาโยงนั่นนี่มั่วไปเรื่อย 

แต่ในชุดแสตมป์ในอดีตของไทยที่จัดแสดงไว้ตรงนี้ นี่เป็นแสตมป์ดวงแรก และดวงเดียว ที่เสนอภาพเด็กไทย ที่แทบไม่ได้ผูกติดกับชาติหรือวัฒนธรรมเลย เป็นแสตมป์ดวงเดียวที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และเป็นแสตมป์ดวงเดียวที่แสดงภาพของการก้าวเข้าหาอนาคต .. ตรงนี้ต้องอย่าลืมว่านี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเมื่อ 30 กว่าปีก่อน

แต่ก็นั่นล่ะ พอปีต่อมา ทุกอย่างก็ดูจะกลับเข้าสู่กรอบเดิมอย่างดุษฎี เด็กไทยในแสตมป์กลับไปเป็นนุ่งซิ่น ทำงานบ้านเป็นนางเอกวรรณคดี รักธรรมเนียมประเพณีอีกครั้งหนึ่ง


ปี 1982 คำขวัญคือ 'ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติศาสน์กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย'


ปี 1983 คำขวัญคือ 'รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม'


ปี 1987 คำขวัญคือ 'นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม'


 วันเด็กปี 1991 อยู่ในยุคของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ



คำขวัญคือ 'รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา'

วันเด็กปี 1992 อยู่ในสมัยของ คุณ อานันท์ ปันยารชุน 


คำขวัญคือ 'สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม'

เราใช้เวลาปวดหัวกับปริศนาแสตมป์ปี 1981 อยู่พอสมควร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรกันแน่ ที่จู่ ๆ ภาพแบบนั้นก็เกิดขึ้น แล้วก็หายไปเสียเฉย ๆ เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เอาล่ะ ผ่อนคลายกันเถิด

เมื่อออกมาจากการสำรวจตรงนั้น ยังมีนิทรรศการแสตมป์จากวัสดุพิเศษนานาชาติให้ได้ชมกัน ซึ่งตรงนี้ก็มีของไทยกับเขาเหมือนกัน คือเป็นแสตมป์ที่มีเมล็ดข้าวเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ยังมีของชาติอื่น ๆ ที่บ้างก็เป็นการฉลุลาย บ้างก็ประดิษฐ์เป็นแสตมป์ที่ต่อกันเป็นรูปร่างได้ เป็นต้น 


มีจดหมาย มีแสตมป์แล้ว ก็ต้องมีคนส่ง ที่นี่มีการจัดแสดงระบบการจัดส่งไปรษณีย์ตั้งแต่สำนักงาน ไปจนถึงการจัดเรียง และการจัดส่ง ซึ่งตรงนี้จีนล้วนนะฮะ (ฮา) 

ไม่เป็นไร ยังมีสิ่งเยียวยาจิตใจเป็นเกมมุ้งมิ้ง ๆ อย่างให้เราขับจักรยานไปส่งไปรษณีย์ เกมนี้เป็นสี่มิติด้วยนะเออ เขาจะให้เราเลือกว่าจะไปเส้นทางไหน และต้องเร่งความเร็วและหยุดในจังหวะต่าง ๆ กันไป บางเส้นทางก็อาจจะต้งหยุดบ่อยหน่อย บางเส้นทางมีลมพัด บางเส้นทางก็มีละอองฝนโปรยมา ชื่นฉ่ำมากมายทีเดียว



แล้วก็ยังมีมุมให้เราชิว ๆ ระบายสี หรือถ่ายรูปเพื่อทำโปสเตอร์ของตัวเองด้วย ก็ดูจะอารมณ์คล้าย ๆ ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์นิด ๆ .. แต่เชื่อเถอะว่าโลกนี้ไม่มีที่ไหนถ่ายรูปออกมาได้แบ๊วเท่าตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์อีกแล้ว



 ส่วนที่สำนักงานไปรษณีย์ด้านล่างก็มีแสตมป์และของที่ระลึกขายอยู่บ้างประปราย แต่ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกถูกใจอะไรเป็นพิเศษ ... สรุปแล้วก็เลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย

ก็เป็นอันจบทริปนี้ไปอย่าง... นี่จะครบถ้วนกระบวนความ เนื้อหาในตัวมิวเซียมเอง เราจะพยายามไม่แตะมากนัก เดี๋ยวจะถือเป็นการสปอยได้ (ฮิ) ก็ถ้าใครสนใจก็ลองไปกันดูได้ แต่ขอเตือนว่า คำบรรยายภาษาจีนช่างทำร้ายจิตใจจริง ๆ

ถ้าไม่นับเรื่องคำบรรยายที่อ่านไม่ได้แล้ว ตัวเนื้อหาของที่นี่ เรียกกว่าน้อง ๆ Evergreen Maritime Museum เลยล่ะ พูดได้ว่าไปที่เดียวก็จุใจเรื่องไปรษณีย์จีน-ไต้หวันได้เลย .. ปัญหาคือเราอ่านไม่ออกนั่นล่ะ #ร้องไห้เบาๆ

Comments